ss

9 ธันวาคม 2553

รีวิว Canon EOS 1D mark IV

Canon EOS 1D mark IV

Canon EOS 1D mark IV เป็นกล้องระดับโปรตัวล่าสุดที่ได้รับการแนะนำเข้าสู่ตลาด โดยเป็นกล้องที่ยังคงติดตั้งเซ็นเซอร์ CMOS ขนาด APS-C (ขนาด 27.9x18.6 มม.) โดยมีค่าตัวคูณขนาดเลนส์  x1.3 เหมือนในรุ่น mark III แต่มีความละเอียดสูงมากขึ้น คือ มีความละเอียดที่ 16.1 ล้านพิกเซล (mark III มีความละเอียดที่ 10.1 ล้านพิกเซล)



คุณลักษณะเด่นของ
Canon EOS mark IV ยังคงรูปลักษณ์ที่เด่นของตัวกล้องที่เกือบจะเหมือนกับ 1D mark III ก่อนหน้านี้ก็คือ ขนาดและน้ำหนักที่คล้ายคลึงกัน ตัวกล้องเป็น Magnesium alloy พร้อมระบบ Seal กันน้ำกันฝุ่น ที่ทำให้กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่สามารถทนทานต่อใช้งานได้ในเกือบทุกสภาพดินฟ้าอากาศ จุดเด่นที่มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นของกล้องรุ่นนี้ที่ต่างไปจาก 1D mark III นอกเหนือไปจากความละเอียดของเซ็นเซอร์ที่สูงมากขึ้นได้แก่
ระบบโฟกัสภาพ ถูกพัฒนาให้มีความรวดเร็วและมีความแม่นยำสูงมากขึ้น โดยมีจุดโฟกัสให้ใช้งานสูงสุดที่ 45 จุดเช่นเดียวกับ 1D mark III แต่มีการเปลี่ยนแปลงจุดโฟกัสแบบ crass type มากขึ้นเป็น 39 จุด ซึ่งใน 1D mark III จะมีเพียง 19 จุดเท่านั้น ทำให้การโฟกัสภาพมีความแม่นยำสูงมากยิ่งขึ้น แม้ในสภาพแสงที่ต่ำมากๆ และยังเพิ่มระบบ Spot AF ที่สนองความต้องการของช่างภาพที่ต้องการโฟกัสภาพในจุดเล็ก ๆ ได้แม่นยำมายิ่งขึ้น
เซ็นเซอร์พัฒนาให้รับแสงได้ดีขึ้น ตัวเซ็นเซอร์รับภาพได้รับการพัฒนาให้สามารถรับแสงได้ดีมากยิ่งขึ้น  ด้วยการพัฒนาให้ระยะห่างระหว่างพิกเซลให้มีระยะที่แคบมากยิ่งขึ้น  และพัฒนาระบบไมโครเลนส์ให้มีระยะชิดกับซ็นเซอร์มากยิ่งขึ้นผลก็คือ ทำให้สามารถรับสัญญาณแสงได้เต็มที่มากกว่าเก่า และมีสัญญาณรบกวน (Noise) ที่ต่ำลง
Dual DIGIC IV Image  Processor ใน EOS 1D mark IV ได้ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่เป็น  Dual DIGIC 4 ที่มีความรวดเร็วและแม่นยำในการประมวลผลรุ่นใหม่แทนที่ Dual DIGIC III ทำให้การประมวลผลเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำมากขึ้น แม้ต้องถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง พร้อมด้วยหน่วยความจำสำรองที่มากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับไฟล์ภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 128 ภาพแบบ Large JPEG และ 28 ภาพแบบ RAW เมื่อใช้การ์ดความเร็วสูงแบบ UDMA
ระบบวัดแสง มีการพัฒนาระบบวัดแสงเพิ่มมากขึ้นอีก 2 รูปแบบ คือ ระบบวัดแสงแบบ The Focus Colour Luminance Metering System ซึ่งเป็นการประมวลผลร่วมกับระยะทางในการโฟกัสภาพ สีของภาพ และความสว่างของภาพ มาประมวลผลเป็นค่าวัดแสงในการใช้งานเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาอีกประการหนึ่งนั่นคือการใช้ Metering Sensor ใหม่เป็น Dual Layer Sensor วัดแสงเป็น 64 พื้นที่ สัมพันธ์กับจุดโฟกัสภาพ ควบคุมการวัดแสงเป็น 2 Layer คือ Layer หน้าว่องไวต่อแสงสีแดงและแสงสีเขียว Layer หลัง ว่องไวต่อแสงสีน้ำเงินและแสงสีเขียวนำมาเปรียบเทียบประมวลผลทั้ง 2 Layer ปรับเป็นค่าวัดแสงที่จะให้ความเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น
ความไวแสง ISO 12800 ความไวแสงในการถ่ายภาพของ EOS 1D mark IV ตั้งได้สูงสุดถึง ISO 12800 และ สามารถเร่งได้ที่ H1, H2 และ H3 ซึ่งเทียบเท่ากับ ISO 25600, 51200 และ 102400  ซึ่งสูงมากกว่า 1D mark III ที่ตั้งได้สูงสุดที่ ISO 3200 และเร่งได้เพียงเทียบเท่า 6400 เท่านั้น
จอ LCD ใหม่ ได้รับการเปลี่ยนใหม่ แม้จะเป็นจอ 3 นิ้วเท่าเดิม แต่มีความละเอียดสูงขึ้นเป็น 920000 พิกเซล ซึ่งในรุ่น 1D mark IIIจะมีความละเอียดเพียง 230000 พิกเซลเท่านั้น ให้ความละเอียดภาพและสีสันที่ดีขึ้น
ระบบถ่ายภาพ Movie ตอบสนองความต้องการตามความเรียกร้องของนักถ่ายภาพที่ต้องการถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการติดตั้งระบบ Movie ให้มาพร้อมใช้งาน เป็นแบบ Full HD ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล พร้อมบันทึกเสียง สามารถตั้งได้เป็น  30, 25, และ 20 ภาพต่อวินาที ถ้าตั้งแบบ HD ความละเอียด 1280x720 พิกเซล ซึ่งสามารถเลือกถ่ายได้ทั้ง 50 และ 60 ภาพต่อวินาที หรือจะตั้งความละเอียดที่ 640x480 พิกเซล เลือกถ่ายภาพได้ทั้งแบบ 50 และ60 ภาพต่อวินาที

ทดลองใช้กล้อง

ลองสัมผัสทดลองใช้กับกล้องรุ่นนี้ สำหรับท่านที่เคยใช้กล้อง Canon EOS 1D mark III มาก่อนจะพบว่าการใช้เกือบทั้งหมดของกล้องรุ่นนี้ให้ความคุ้นเคยเหมือนกัน แต่สำหรับท่านที่เพิ่งข้ามรับของกล้องจะพบว่ามีน้ำหนักมากกว่ารุ่น EOS 7D หรือ 50D ทั้งระบบปรับตั้งต่างๆ จะแตกต่างกันออกไปเนื่องจากด้านซ้ายมือส่วนบนจะไม่มีแหวนปรับตั้งระบบถ่ายภาพ แต่จะเป็นปุ่มกดแทนซึ่งเป็นลักษณะของกล้องในระดับ 1D แต่ก็สามารถสร้างความคุ้นเคยได้ไม่ยากนัก
ตัวกล้องมีความโค้งมนมากกว่าในรุ่นที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ 1D เช่นกัน การจับถือให้ความกระชับมือ ปุ่มบังคับต่างๆ ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมของ 1D mark III ซึ่งให้การใช้งานได้คล่องตัวง่ายต่อการปรับตั้ง
การปรับตั้งกล้องเพิ่มเติมก็คือ การที่มีระบบถ่ายภาพแบบ Movie ให้ใช้งาน ด้วยระบบ Live View ต้องเข้าไปปรับตั้งเปิดระบบ LV ใน Custom Function ก่อน การเปิดใช้ LV โดยการกดปุ่ม Info ที่มุมซ้ายด้านหลังของกล้อง และเมื่อต้องการถ่ายภาพในระบบ Movie ก็ใช้การกดปุ่ม FEL เหนือปุ่มชัตเตอร์ ด้านบนของกล้อง และกดซ้ำเมื่อต้องการหยุดการถ่ายภาพในระบบ Movie ในระหว่างที่กล้องถ่ายภาพในระบบ Movie ถ้าต้องการถ่ายภาพนิ่ง ก็สามารถกดปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ทันที เมื่อถ่ายภาพนิ่งแล้วกล้องจะบันทึกภาพในระบบ Movie ได้ต่อเนื่องทันที
Canon EOS 1D mark III จัดเป็นกล้องโปรที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพ กีฬา ภาพ Action ต่าง ๆ ภาพข่าว รวมทั้งภาพชีวิตตลอดจนถึง การถ่ายภาพชีวิตสัตว์ กล้องรุ่นนี้จึงออกแบบมาให้ใช้งานถ่ายภาพได้ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งการโฟกัสภาพ และการประมวลผล และจุดสำคัญก็คือ มีความไวแสงที่สูงมากขึ้นให้ใช้งานถ่ายภาพได้สะดวกขึ้น ดังนั้นการทดสอบการใช้งานสำหรับกล้องรุ่นนี้ เราจึงเลือกสนามทดสอบที่เป็นการถ่ายภาพที่มีพฤติกรรม ที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำของการโฟกัสภาพ หรือการใช้ความไวแสงสูงร่วมในการถ่ายภาพเป็นหลัก โดยเลือกการถ่ายภาพในงานการแข่งขันฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ และการแสดงบนเวทีคอนเสิร์ต เป็นสนามสำหรับการถ่ายภาพใช้งาน และเลือกที่จะใช้ระบบถ่ายภาพอัตโนมัติเป็นหลัก เพื่อให้กล้องประมวลผลทำงานให้อย่างเดียว

ผลของการใช้งาน
การถ่ายภาพกับกล้องรุ่นนี้ เลือกใช้เลนส์หลักสำหรับการถ่ายภาพ 3 ขนาดด้วยกัน คือ Canon EF 24–105 mm L IS USM, Canon EF 70-200 mm F 2.8 L IS USM และ Canon EF 100–400 mm L IS USM ผลของการถ่ายภาพมีดังนี้
ระบบโฟกัสภาพ พบว่ามีความรวดเร็วในการโฟกัสและมีความแม่นยำดีมาก สามารถสั่งใช้การได้รวดเร็วทั้งการปรับเลือนจุดโฟกัสด้วยตนเอง หรือให้จุดโฟกัสทำงานอัตโนมัติ แม้ในสภาพแสงที่น้อยมาก การโฟกัสภาพก็ยังทำงานได้ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ การสั่งการ Shift จุดโฟกัสภาพด้วยปุ่มปรับเลื่อนด้านหลังสามารถทำงานได้คล่องตัวดีมากสำหรับท่านที่ถนัดตาขวา แต่สำหรับคนที่ถนัดตาซ้าย ดูจะติดขัดนิดหน่อย แต่สามารถปรับตั้งเป็นการเลือกจุดโฟกัสแบบ 2 วงแหวนแทนได้คือวงแหวนด้านบนประสานกับวงแหวนหลักหลังกล้องซึ่งตำแหน่งการวางนิ้วจะพอดีสำหรับการปรับเลื่อนเช่นกัน
ระบบ Auto WB การควบคุมอุณหภูมิสีของระบบ Auto WB ของกล้องรุ่นนี้ ให้ความแม่นยำดีมาก สีของภาพส่วนใหญ่ให้ความเที่ยงตรงเป็นธรรมชาติดีมาก นั่นหมายความว่าในการใช้งานอย่างรวดเร็ว และสภาพอุณหภูมิสีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว สามารถที่จะเข้าไปใช้ระบบนี้ได้ทันที ซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้มีสีที่เป็นธรรมชาติได้ดีขึ้น
ความคมชัดของภาพและการเก็บรายละเอียด จากภาพที่ถ่ายได้นับหลายร้อยภาพนำมาพิจารณาร่วมกันพบว่า ภาพที่ได้ มีความคมชัดที่ดีมาก การเก็บรายละเอียดของภาพดีมาก ซึ่งมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน หนึ่งคือคุณภาพของเลนส์ที่ใช้ในการทดสอบ และส่วนที่สองก็คือคุณภาพของกล้องที่ได้รับการพัฒนา เซ็นเซอร์ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นของกล้องรุ่นนี้ ตั้งแต่ความละเอียดของเซ็นเซอร์ที่สูง 16.1 ล้านพิกเซล และการพัฒนาการรับแสงของเซ็นเซอร์ ที่สามารถรับแสงได้ดีขึ้น ระยะห่างระหว่างพิกเซลที่ลดลง ทำให้คุณภาพความคมชัดและการเก็บรายละเอียดที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับกล้องในรุ่น 1D mark III
สีสันของภาพ สำหรับเรื่อสีสันของภาพถ่าย จากภาพทั้งหมดที่ได้พบว่า ให้สีสันที่สดใสดีขึ้นมากกว่า 1D mark III อย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ได้ส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีเลย แทบจะไม่ต้องการการปรับแต่งแต่อย่างใด ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายภาพแบบ RAW file แล้วนำภาพมาปรับใน DPP ที่มาพร้อมกล้องแล้วจะได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ และสามารถนำไปใช้งานได้สำหรับการขยายภาพใหญ่ได้สบายมากเลย

สัญญาณรบกวน [Noise] จุดเด่นประการสำคัญของกล้องรุ่นนี้ก็คือมีสัญญาณรบกวนที่ต่ำมากๆ แม้ตั้งการถ่ายภาพด้วยความไวแสงที่สูง จากการทดสอบถ่ายภาพที่ความไวแสงสูงๆ เพื่อดูสัญญาณรบกวนพบว่า กล้องรุ่นนี้ถ่ายภาพที่ ISO 100–1600 ได้สบายใจมาก ภาพที่ได้มีสัญญาณรบกวนที่ต่ำมากๆ  การถ่ายภาพที่ ISO 3200 พร้อมการเปิดระบบลดสัญญาณรบกวน พบว่าภาพที่ได้แทบไม่ปรากฏอาการของสัญญาณรบกวน การถ่ายภาพที่ ISO 6400 พบว่ามีสัญญาณรบกวนบ้างเล็กน้อย แต่ความคมชัดยังดีอยู่มาก สำหรับการถ่ายภาพที่ความไวแสง ISO 8000, 10000 และ 12800 พบว่า มีสัญญาณเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ความคมชัดลดลงบ้างเล็กน้อย แต่สีสันที่ได้รับมีความสดใสคงที่
Dynamic Range ในเรื่องนี้พบว่า จากภาพที่ได้การไล่ระดับสีรวมทั้งการเก็บรายละเอียดในบริเวณที่มืดและบริเวณสว่างดีขึ้นมากกว่ากล้องรุ่นก่อนนี้มากเลย ทั้งนี้มาจากสาเหตุสำคัญที่กล้องสามารถไล่ระดับต่างๆได้ดีขึ้นมาจากสาเหตุสำคัญก็คือการพัฒนาระยะห่างระหว่างพิกเซลที่แคบกว่าเก่าและการพัฒนาระบบ Micro lens ให้อยู่ชิดเซ็นเซอร์ได้มากยิ่งขึ้นรวมแสงให้ตกลงบนโฟโตเซลได้มากยิ่งขึ้น ความละเอียดของเซ็นเซอร์ที่สูงขึ้น รวมทั้งการการประมวลผลสีแบบ 14 bit ทำให้การไล่ระดับสีมีมากยิ่งขึ้นเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ Dynamic Range ของกล้องรุ่นนี้กว้างมากขึ้น
ระบบถ่ายภาพ MOVIE ระบบถ่ายภาพวิดีโอของกล้องรุ่นนี้การใช้งานถือว่าง่ายครับ แม้ว่าจะไม่ง่ายเหมือนกับกล้อง EOS 7D ที่เป็นปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว แต่ก็ถือว่าให้ความสะดวก เพราะเพียงแต่ปรับตั้งใน Custom ไว้แล้ว เมื่อต้องการใช้งานก็เพียงกดปุ่ม Info และ กดปุ่ม FEL ก็ถ่ายภาพได้เลย  จากฟุตเตจที่ลองถ่ายภาพเมื่อมา play ภาพดูพบว่า ภาพที่ได้มีความคมชัดและสีสันที่สำใสมากเช่นเดียวกับกรถ่ายภาพนิ่ง ที่น่าประทับใจก็คือเมื่อตั้งในระบบ Full HD เมื่อนำมาลอง play ผ่าน โปรเจคเตอร์ขยายใหญ่ ได้ภาพที่สะใจครับ ดูเป็นมินิเธียร์เตอร์กันเลยทีเดียว





ภาพที่ถ่ายทั้งหมดนี้ ขอเรียนไว้อีกครั้งหนึ่งว่าเป็นกล้อง Demo ยังไม่ได้เป็นกล้องที่ออกสู่ตลาดจริง ซึ่งเชื่อว่ากล้องที่ออกสู่ตลาดในเร็ววันนี้นั้นคุณภาพคงสมบูรณ์พร้อมมากกว่านี้อีก แค่ที่ทดสอบก็ประทับใจแล้วครับ สำหรับในด้านราคา ไม่ถูกแน่ๆ ครับกับกล้องโปร แต่สำหรับมือโปร ที่ต้องการใช้งานหนัก ต้องการความรวดเร็ว ต้องการความแม่นยำ และต้องการภาพคุณภาพสูง ก็ถือว่าคุ้มค่าใช่ไหมครับ

ข้อมูลกล้อง Canon EOS 1D mark IV
ตัวกล้อง : แมกนีเซียม อัลลอยด์
เม้าท์เลนส์ : รองรับเลนส์ Canon EF ไม่รองรับเลนส์ EF-S
Sensor : CMOS ขนาด APS-H ขนาด Crop ภาพ x 1.3 ความละเอียดใช้งาน 16.1 ล้านพิกเซล
Image processor : Dual  DIGIC IV
A/D conversion : 14 bit
Image Size : ตั้งได้ทั้ง RAW, JPEG และ RAW+JPEG ความละเอียดของ RAW ตั้งได้ 3 ระดับ คือที่  RAW, M-RAW และ S-RAW สำหรับ JPEG ตั้งได้ 4 ระดับคือที่ L, M1, M2 และ S
Movie mode : แบบ MOV ตั้งได้ทั้งแบบ Full HD และ HD ถ่ายได้นานประมาณ 30 นาที
ระบบกำจัดฝุ่น : EOS Integrated Cleaning System ที่ใช้ระบบ Fluorine Coating Anti Static ลดการเกาะของฝุ่น และ Self Cleaning Sensor unit ที่ฟิลเตอร์ชิ้นหน้าสั่นด้วยความถี่สูงสลัดฝุ่น ทำงานอัตโนมัติเมื่อเปิดและปิดการทำงานของกล้อง พร้อมด้วยระบบ Dust delete data ที่ทำงานพร้อมกับซอฟแวร์ DPP ที่ใหม่พร้อมกล้อง
ระบบออโต้โฟกัส : เป็นระบบโฟกัส 45 จุด  39 จุดโฟกัสเป็นแบบ cross type
Focus Mode : เลือกได้ 3 แบบ  One Shot AF, AI Servo AF ซึ่งเป็นแบบ AI Servo II ที่ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำกว่าแบบเก่า  และ Manual Focus
การเลือกจุดโฟกัส : สามารถเลือกตั้งได้ ใน Custom Function ถึง 5 รูปแบบ *แบบ Auto *Manual Single Point AF ที่สามารถปรับตั้งกล้องให้ใช้งานได้ ทั้งแบบ 45 จุด, 19 จุด, 11 จุด และ 9 จุด *Manual Spot AF เป็นการบีบจุดโฟกัสให้เล็กลงกว่าปกติเพื่อให้เข้าใกล้จุดที่ต้องการจะโฟกัสได้มากขึ้น *Manual AF point Expansion  เป็นการขยายพื้นที่โฟกัสภาพให้กว้าขึ้น สามารถตั้งได้ทั้งแบบซ้าย, ขวา, รอบๆ กลางภาพ หรือ ทั้ง 45 จุด *ตั้งจุดโฟกัส สามารถเลือกการปรับตั้งแยกสำหรับการปรับตั้งได้ทั้งในแนวขวาง  และแนวดิ่ง
ระบบถ่ายภาพ : ตั้งได้ 5 รูปแบบ คือแบบ [P] Program AE, [Av] Aperture Priority AE, [Tv] Shutter priority AE, Manual และ Bulb
ระบบวัดแสง : ตั้งได้ 3 แบบ คือ แบบ Evaluative แบ่งพื้นที่การวัดแสงเป็น 63 พื้นที่ สัมพันธ์กับจุดโฟกัสภาพ, ระบบวัดแสงแบบ Partial พื้นที่การวัดแสง 13.5 % และระบบวัดแสงแบบ Spot พื้นที่การวัดแสง 3.8 %
ความไวแสงในการถ่ายภาพ : ตั้งความไวแสงได้ตั้งแต่ ISO 100–12800 ตั้งลดได้เทียบเท่ากับ ISO 50 และเร่งความไวแสงได้เทียบเท่ากับ ISO 25600 ที่ H1, ISO 51200 ที่ H2 และ ISO 102400 ที่ H3
ความไวชัตเตอร์ : ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 1/8000 วินาที พร้อมชัตเตอร์ Bulb สัมพันธ์แฟลชที่ความไวชัตเตอร์สูงสุดที่ 1/300 วินาที
ระบบลด Noise : ตั้งได้ทั้งแบบ Long Exposure NR  และ High ISO NR ที่สามารถตั้งได้ 4 ระดับ
White  balance : ตั้งได้ทั้งระบบ Auto, ตั้งตามชนิดแสงได้ 6 แบบ, ตั้งแบบ Kelvin ได้ตั้งแต่ 2500 K–10000 K และตั้งแบบ Custom สามารถบันทึกได้ 5 แบบ
ช่องมองภาพ : แบบ Penta-prism มองภาพได้ 100 % พร้อมระบบชดเชยแสง
Picture Style : มีระบบ Picture  Style ให้เลือกปรับตั้งได้ 6 แบบ  และบันทึกเพิ่มได้อีก 3 แบบ
White balance Shift : สามารถตั้ง Shift สีได้ จาก Blue -9 ถึง Amber +9 และ จาก Magenta -9 ถึง Green +9
Drive Mode : ตั้งการถ่ายภาพได้ทั้งแบบถ่ายทีละภาพ และถ่ายภาพต่อเนื่อง ที่เลือกได้ 2 แบบ คือ แบบ Low speed ถ่ายได้ 3 ภาพต่อวินาที และ High speed ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 10 ภาพต่อวินาที  และ Silent mode ถ่ายภาพเลดเสียงแบบถ่ายทีละภาพ
จอ LCD : แบบ TFT ขนาด 3 นิ้ว  ความละเอียด 920000 พิกเซล  มองภาพได้ 160 องศา
Custom Function : ตั้งได้อีก 64 รูปแบบ
สื่อบันทึกภาพ : มีช่องใส่การ์ด 2 ช่อง สำหรับ CF card 1 ช่อง รองรับการ์ดแบบ UDMA และช่องใส่ SD card อีก 1 ช่อง  รองรับการ์ดแบบ SDHC
แหล่งพลังงาน : Rechargeable  Lithium-Ion LP-E4
ขนาด : 156 x 156.6 x 80 มม.
น้ำหนัก : 1180 กรัมไม่รวมแบตเตอรี่

ที่มา :http://camerartmagazine.com/index.php/product-review/slr-camerar-review/220-canon-eos-1d-mark-iv
Canon EOS 1D mark IV

บทความกล้องดิจิตอลยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง